“แพมมี่ สุธิดา” ผีใบข้าวหนังสัปเหร่อ ชีวิตเปลี่ยน! จากผู้จัดการนักร้องสู่นางเอกร้อยล้าน
ตอกย้ำกระแสความแรง “สัปเหร่อ” เตรียมโกอินเตอร์ จ่อเข้าฉาย 9 ประเทศ
มาแรงไม่แพ้กระแสหนัง สำหรับนักแสดงสาว “แพมมี่-สุธิดา บัวติก” หรือ “แพมมี่ ไทบ้าน” นางเอกภาพยนตร์ ‘สัปเหร่อ’ ที่นอกจากจะมาอัปเดตความออตในรายการคุยแซ่บShow แล้ว
ก็ยังควงนักร้องหนุ่ม “กานต์ ทศน” มาเคลียร์สถานะให้รู้ชัดเจนกันไปเลยว่าตกลงแล้ว เจ้าตัวเป็นแค่ผู้จัดการส่วนให้ฝ่ายชายหรือทั้งคู่เป็นแฟนกัน โดยสาว “แพมมี่” ก็เปิดใจทุกประเด็นแบบไม่กั๊กว่า
ตอนนี้ ‘สัปเหร่อ’ ทำเงินเลย 700 ล้าน พุ่งสู่ 800 ล้าน ดีใจไหม?
แพมมี่ : “ดีใจค่ะ ดีใจกับเด็กๆ อีสานด้วย เราเริ่มจากศูนย์ พอมันมาไกลขนาดนี้ มันก็ไกลเกินฝัน (พลิกชีวิตไหม?) พลิกชีวิตค่ะ ที่จริงหนูพลิกมาตั้งแต่ไทบ้านรอบแรกแล้ว แต่ว่าคนอาจจะไม่ได้รู้จักหนู แต่พอมาพาคนี้เหมือนเปิดตาให้คนเห็นเรามากขึ้น”
“กานต์” อยู่ด้วยตลอด มาเห็นความสำเร็จของ “แพมมี่” รู้สึกยังไงบ้าง?
กานต์ : “ดีใจครับ เราสองคนต่างเป็นคนที่สู้ฝันเหมือนกัน แล้ววันนึงเราได้มาเจอกัน ถึงแม้ผมจะพิชิตฝันได้เร็วกว่า เขาอาจจะมาในปีนี้ แต่มันเป็นปีที่โชคดีมากเลย เพราะถ้าสมมติมันมาพร้อมกันในปีที่แล้วเราไม่รู้จะทำงานกันยังไง เพราะเรามีอยู่สองคน แล้วทีมงานอีกสองคน มันโชคดีมากที่ต่างคนต่างประสบความสำเร็จในแต่ละปี”
หลายคนอยากรู้ว่าตกลงเป็นแฟนกันใช่ไหม?
กานต์ : “สถานะแฟนหลายๆ คู่เขาบอก ผมมีสถานะที่มากกว่านั้น ซึ่งสถานะนี้คือ ‘สถานะเฟื่อน’ เปรียบเหมือนการดูแลซึ่งกันและกัน ลึกซึ้งนะครับ ถ้าคำว่าแฟนสำหรับผมใครๆ ก็เรียกได้ ตลอดเวลาที่เรารู้จักกันมา มันดูแลกันมากกว่าแฟนครับ”
ครั้งแรกที่เจอกันคำพูดจาก เว็บตรง PG SLOT?
กานต์ : “หยิ่งมากครับ ผมหัวเกรียนๆ ตอนนั้นเรียน รด.อยู่ อายุเราห่างกันประมาณ 5-6 ปี เขาแก่กว่าผม ตอนแรกผมคิดว่าเขาอายุไล่ๆ กับผม (เขาไม่รับไหว้เรา?) ใช่ คือเราไหว้ทุกคน แต่คนนี้หน้าตาดีนะ เราก็เป็นคนชอบคนสวยอยู่แล้วไง ก็ไปสวัสดีครับ เอ้า…เมิน (หัวเราะ)”
วันนั้นจริงๆ คือ?
แพมมี่ : “หิวข้าวค่ะ เครื่องดีเลย์ หนูหิวเลยเดินไปกินข้าวโดยที่ไม่ได้มองใคร แต่ก็ยิ้มใส่ทุกคนนะคะ หนูก็สวัสดีทุกคนที่หนูรู้จัก ประมาณ 6-7 ปี แล้วค่ะ”
กานต์ : “นานแล้วครับ ตั้งแต่ไทบ้าน 2.2”
ตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้เริ่มคุยกันได้ยังไง?
กานต์ : “ผ่านเฟซบุ๊กครับ ผมรู้อยู่แล้วว่าเขาคนอุดร ผมแอบเข้าไปส่อง ทีนี้ผมจะไปถ่ายหนังที่อุดร เลยทักไปหาเขาถามว่ามีร้านชิลๆ ไหมที่อุดร ซึ่งความหมายผมก็ร้านนม ร้านขนมปัง แต่เขาส่งร้านเหล้ามาเพียบเลย แต่เราไม่ได้บอกว่าจะไปร้านไหน แค่อยากหาเรื่องคุยกับเขาเฉยๆ พอไปถ่ายหนังก็มีโอกาสเจอกันบ้าง เริ่มคุยกัน แต่ส่วนใหญ่คุยกันทางโทรศัพท์มากกว่า เพราะผมอยู่กาฬสินธุ์”
ตอนที่เขาทักไป เรารู้สึกยังไง?
แพมมี่ : “ช่วงนั้นหนูเป็นเสือเลย คือเราไม่มีแฟน เราก็คุยทุกคน ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกว่าเขาจีบเลย เพราะปกติเราคุยกันเล่นๆ กับทุกคน (มาเริ่มพิเศษตอนไหน?) ชอบมากวน ไล่ก็ไม่ไป”
กานต์ : “ผมไปได้ไง ผมไม่มีเงิน คือเขาไม่อยากคบเด็ก เขากลัวเรื่องวุฒิภาวะ ความคิดไม่ตรงกัน แต่เราก็อยากพิสูจน์ว่าเราก็มีความเป็นผู้ใหญ่ในวัยของเรา เพราะว่าเราทำงานตั้งแต่เด็ก เราเลยได้พิสูจน์กันมาเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันนี้”
ตอนนั้นยังไม่ได้ออก ‘คาถาขุนแผน’ ใช่ไหม แล้วคบกันกี่ปีเราถึงประสบความสำเร็จ?
กานต์ : “4-5 ปีประมาณนี้”
มีเหตุการณ์ที่เกือบทำให้ “กานต์” ไม่ได้ร้องเพลงนี้ “แพมมี่” เกือบไม่ได้เป็นนางเอก 800 ล้านแล้ว?
กานต์ : “เป็นช่วงโควิด การเงิน การงานมันไม่เข้ามา เราไม่มีเงินที่จะไปต่อ เพราะว่าเงินที่เรามีมันใช้เดี๋ยวก็หมดไปเรื่อยๆ ตัวแม่ผมเองใกล้เกษียณแล้ว เรามีความเป็นห่วงแม่ แล้วเขาก็อยู่กับแม่แล้วก็น้อง แล้วผมอยู่กับแม่สองคน เราต่างก็มีแม่เหมือนกัน เราก็เลยหาทางออกกัน แพมมี่บอกว่าจะไปทำงานที่เมืองนอก ไปร้องเพลงสักพัก เพื่อเก็บเงินมาเลี้ยงดูครอบครัว ส่วนผมเขียนเพลง แต่ตอนนั้นผมขายเพลงไม่ได้เลยตอนนั้น”
เห็นว่านั่งคุยแล้วร้องไห้?
กานต์ : “ใช่ครับ นั่งคุยในรถ ตอนที่ไปอัดคาถาขุนแผน”
แพมมี่ : “ตอนนั้นกำลังจะไปอัดเพลงใหม่หนู วันนั้นไม่ได้จะไปอัดคาถาขุนแผน วันนั้นเราไม่ค่อยมีทุน เพราะว่าเวลาอัดเพลงมันต้องใช้เงินเยอะใช่ไหมค่ะ วันนั้นไปนั่งกับพี่เขาที่อยู่ห้องอัด เขาบอกเอามาให้พี่แค่พันเดียวก็ได้ เดี๋ยวพี่ทำให้ แล้วมีน้องๆ 2 คนเรียนที่เดียวกัน เขามาช่วยถ่ายให้”
เห็นบอกว่าตอนแรกจะใช้มือถือถ่าย?
กานต์ : “ครับ”
แพมมี่ : “ตอนแรกใช้มือถืออัดเพลง เสียงมันแตก ไม่ค่อยเพราะ แล้วคราวนี้พี่เขามาฟัง เขาบอกมันไม่ได้”
กานต์ : “ด้วยความที่เราไม่มีงบครับ”
แพมมี่ : “แล้วเราไม่รู้ด้วยว่าเพลงมันจะดังหรือเปล่า”
กานต์ : “ตอนนั้นมันเริ่มมีกระแสแหละ พระอาจารย์แจ้ท่านเริ่มอาบน้ำมนต์ แต่ตอนนั้นมันออกเป็นเวอร์ชั่นคู่ ตั้งใจจะทำถวาย ทีนี้เราอยากทำเป็นการเล่าเรื่องราวเดี่ยวๆ ของเรา แต่ด้วยความที่เรางบไม่มี พูดตามตรงผมเป็นคนขี้งกมาก เราก็เลยแบบอัดโทรศัพท์ก็ได้ เสียงก็น่าจะเหมือนกันแหละ แล้วเขาก็มาสร้างความมั่นใจให้เราแหละว่ามันมาแน่ๆ เพราะในติ๊กต๊อกมันกำลังมา”
พอปล่อยกระแสเป็นยังไง?
กานต์ : “ปัญหาพออัดเพลงมาแล้ว ทีนี้ทีมถ่ายเลยได้รุ่นน้องของเขามาช่วยถ่าย”
แพมมี่ : “ใช้กล้องหนูที่มีอยู่แล้วถ่าย แล้วเลี้ยงข้าว เลี้ยงน้ำน้องๆ”
กานต์ : “ใช่ เลยออกมาเป็น คาถาขุนแผน เวอร์ชั่น 91 ล้านวิว”
แพมมี่ : “คือมาวันเดียว 2 ล้านวิว”
คนอื่นเขาแต่งแนวความรัก ทำไมเราไปแนวเกจิอาจารย์?
กานต์ : “คือก่อนที่จะเกิดเพลงคาถาขุนแผน มีเหตุการณ์นึง แพมมี่ทำโทรศัพท์ตกถังขยะ แล้วต้องไปตามเก็บที่อ่อนนุช เป็นโรงขยะกองใหญ่มาก แล้วโทรศัพท์มันอยู่ในนั้น แล้วเปอร์เซ็นต์ที่มันจะออกมายากมาก เพราะมันต้องแยกทีละชิ้น ทีนี้โทรศัพท์มันติดๆ ดับๆ เพราะโดนน้ำขยะมันเปียก อันนี้เป็นความเชื่อนะ ผมขอกับหลวงปู่กวย ซึ่งก่อนขอไปเจอคนงานพม่าเขามาช่วยหา ผมเดินไปอีกฝั่งที่เขาหา ฝั่งโทรศัพท์นั่นแหละ ผมท่องหลวงพ่อกวย ขอท่าน ณ เวลานั้น ตี5 จะ 6 โมงแล้ว มันเช้าแล้วเรายังไม่ได้นอนเลย หลวงพ่อถ้าผมหาเจอนะ ผมตื่นเดี๋ยวผมไปหาเลย หลังจากวันนั้นเรารักษาสัจจะกับหลวงพ่อ ตื่นประมาณเที่ยง นอนไม่กี่ชั่วโมงไปหาหลวงพ่อที่ จ.ชัยนาท”
แพมมี่ : “เพลงดังค่ะ”
เรื่องเพลงได้ขอท่านด้วยไหม?
กานต์ : “ขอแค่ 50 ล้าน จะไปจัดงานคอนเสิร์ตให้ท่าน”
แพมมี่ : “ภายใน 2 เดือน แล้วก็ 50 ล้านภายใน 2 เดือนจริงๆ”
กานต์ : “แล้ววันนี้วันเกิดท่าน คือเพลงนี้มันพลิกชีวิต หลังจากที่เราไม่มีเงินกัน มันกลายเป็นว่าเราพออยู่ พอกิน มีเงินเลี้ยงครอบครัวได้จนถึงวันนี้”
มันก็มีบางส่วนที่เขารู้สึกว่า เราหากินกับเกจิอาจารย์?
กานต์ : “ตอนแรกรู้สึกเสียใจครับ ก็จะบ่นกับเขาตลอดว่าทำไมอะ เราทำผิดตรงไหน เพราะสิ่งที่เราทำคือเราแทบไม่ได้อะไรเลย”
แพมมี่ : “ตอนแรกเราทำถวายเฉยๆ ไม่ได้อะไรเลย”
กานต์ : “ผมไม่ได้อะไรเลย พอเพลงดัง ผมไม่ได้เอาหลวงพ่อมาหากินอย่างเดียว มีคนเข้าวัดเพิ่มขึ้น มีคนทำบุญเพิ่มขึ้น แล้วเงินส่วนนั้นหลวงพ่อก็เอาไปทำแระโยชน์ต่อ แล้วผมไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับวัดต่างๆ เลยนะ ที่ผมไป ผมไม่เคยได้ส่วนแบ่ง ผมมีหน้าที่ทำเพลงชักชวนคน บางคนอาจจะชักชวนทางอื่นเพื่อเข้ามาหาวัด ผมพอมีพรสวรรค์ในด้านนี้ ผมก็เลยอยากเขียนเพลงเพื่อจูงคนมาเข้าวัด”
“แพมมี่” มาเป็นผู้จัดการ?
กานต์ : “เกือบเข้าปีที่2 แล้ว”
“กานต์” ดังแล้วลืมตัวจริงหรือเปล่า?
กานต์ : “เป็นห้วงความคิด แต่ไม่ได้ประพฤติออกหน้าสื่อสาธารณะ”
แพมมี่ : “พอเหนื่อยแล้วสีหน้าจะชักออก จะเป็นคนไม่ได้อดทนเหมือนแต่ก่อน แต่ก่อนได้หมดทุกอย่าง วิ่ง 3 งาน งานสุดท้ายเริ่มเหนื่อย หน้าเริ่มออก หนูก็จะคอยเตือน”
กานต์ : “มันจะมีห้วงความคิดนึงที่เรารู้สึกเหนื่อย แต่ได้เขามาฉุดความคิดไว้นิดนึง เห้ย…เรารอมาไม่ใช่เหรอวินาทีนี้ เรารอวันนี้มาไม่ใช่เหรอ ผมเชื่อว่าทุกคนมี แต่มันอยู่ที่ว่าคนรอบข้างเขามันจะขนาดไหน ผมได้คนรอบข้างดี ถ้าผมเจอไม่ดีเราก็จะเป็นอีกแบบเลย โชคดีมันมีคนมาฉุดให้เราคิด ทำให้เราเปลี่ยนความคิดใหม่ ทุกวันนี้ไม่ว่ายังไงก็แล้วแต่ ผมจะอยู่ถ่ายรูปกับแฟนเพลงตั้งแต่คนแรกจนคนสุดท้าย”
ความในใจมีอะไรอยากบอก?
กานต์ : “ความจริงเราพูดกันทุกวันอยู่แล้ว ส่วนใหญ่เราจะอยู่กันที่งาน เราทำงานแทบทุกวัน แทบทุกเวลาด้วยซ้ำ ดีใจมากกว่าที่ในทุกๆ ก้าวเขาประสบความสำเร็จในสิ่งที่เขาฝัน”
แพมมี่ : “จริงๆ หนูบอกให้เขามีสติมากกว่าเวลาจะคุยหรืออะไรกับใคร”
กานต์ : “เอาจริงๆ ไม่มีมุมสวีตเลย ด่าอย่างเดียว ส่วนใหญ่เขาบ่น (หัวเราะ)”
ขอบคุณภาพ IGpammysutida ,kan_tasana_9
ผลประกบคู่คาราบาว คัพ รอบ 8 ทีม ลิเวอร์พูล ดวล เวสต์แฮม
ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ วิเคราะห์แชมป์พรีเมียร์ลีกหลังผ่าน 10 เกม ทีมไหนได้ลุ้น
ตอกย้ำกระแสความแรง “สัปเหร่อ” เตรียมโกอินเตอร์ จ่อเข้าฉาย 9 ประเทศ